
ปัจจุบันสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมรับประทานเติบโตทั่วโลก รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง ส่งผลให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์รับอานิสงส์ไปด้วย โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นจากผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความสะอาด และความปลอดภัย และความสามารถในการรักษาคุณภาพของอาหารที่จัดเก็บในอุณหภูมิปกติได้นานสูงสุดถึง 2 ปีโดยที่รสชาติไม่เปลี่ยน
ปี 2569 ยอดขายโต 2 เท่าตัว

กลุ่มบริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกขึ้นรูปอันดับ 5 ของโลก โดย ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในหมวดอาหารประเภทอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ โดยวางเป้าหมายฐานลูกค้าในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และทั่วภูมิภาคเอเชีย เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย จีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ โดยตลาดหลักของบริษัทอยู่ที่สหรัฐอเมริกา สัดส่วน 50-60%
ดังนั้น มั่นใจว่ายอดขายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2569 โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือ การพัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพื่อความยั่งยืนใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่ง รวมถึงการลงทุนโรงงานใหม่ในประเทศอินเดีย และการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบัน เอกา โกลบอล มีโรงงานใน 3 ประเทศ คือ ในประเทศไทย 1 แห่ง ประเทศจีน 2 แห่ง และอินเดีย 1 แห่ง ที่เมืองปูเน่ (PUNE) ซึ่งเปิดไลน์การผลิตสินค้าในเดือนมีนาคม 2567
“ความสำเร็จของ ‘เอกา โกลบอล’ ดังกล่าวมาจากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เน้นการแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภค และสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตสามารถส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศด้วยบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตอาหารอย่างต่อเนื่องในการพัฒนานวัตกรรมแพ็กเกจจิ้งร่วมกัน เพื่อให้ได้สินค้าที่ดีไซน์ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตเติบโตกว่า 2,850 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นท็อป 5 ของโลกในตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร” ชัยวัฒน์ กล่าว
รุกตลาดอินเดีย
ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและตลาดต่างประเทศอื่นๆ รวมถึงตลาดเกิดใหม่เผชิญกับความไม่มั่นคง มีความเสี่ยงต่อการลงทุน ต่างจากอินเดีย ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นรองจากสหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น และมีฐานผู้บริโภคในประเทศขนาดใหญ่ ทำให้อินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจและกำลังดึงเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก ดังนั้นบริษัทจึงตัดสินใจลงทุนที่อินเดีย
และด้วยจำนวนประชากรมากกว่าพันล้านคน ซึ่งเป็นฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ นอกจากนี้อินเดียยังมีกลุ่มประชากรวัยทำงานที่มีการศึกษาสูงและมีทักษะที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2570 ประชากรกว่า 100 ล้านคนจะกลายเป็นคนร่ำรวยที่มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อปี ทำให้ตลาดผู้บริโภคของอินเดียมีศักยภาพสูงและใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐและจีน
“เศรษฐกิจอินเดียเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP เฉลี่ย 7% ต่อปี ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้เติบโตสูงถึง 7.76% จากปีก่อน ขณะที่แนวโน้มในอนาคตจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการและผู้ผลิตอาหารที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตถึงเท่าตัว” ชัยวัฒน์ กล่าว

ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ด้วยกำลังซื้อขนาดใหญ่ทำให้ตลาดอาหารของอินเดียเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพฤติกรรมการบริโภคของคนอินเดียนอกจากการบริโภคอาหารมื้อหลักแล้ว ยังนิยมทานขนมหวาน ทำให้เอกา โกลบอล มองเห็นการเติบโตของผู้ประกอบเอสเอ็มอีในอินเดียที่มากขึ้นทุกปี จากระดับคำสั่งซื้อหลักพันชิ้นเป็นหมื่นชิ้นต่อเดือน จึงเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย มูลค่าการลงทุน 200 ล้านบาท เปิดดำเนินงานไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 และจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เอกา โกลบอล มีอัตราการเติบโตมากกว่า 100% ต่อปี โดยเฉพาะอาหารขนมหวานท้องถิ่นพร้อมรับประทาน มีอัตราคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีธุรกิจขนมหวานในอินเดียกว่า 300-400 ราย และมีคำสั่งซื้อเฉลี่ยต่อรายเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าหมื่นชิ้นต่อเดือน มั่นใจภายใน 5 ปี บริษัทจะมีรายได้ 2,400 ล้านรูปี หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท
“โรงงานแห่งใหม่ที่อินเดียจะรองรับการขายภายในอินเดีย ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงสุดเป็น 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตในไทย และปีนี้อินเดียเป็นตลาดสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายรวมทั้งปีนี้ของบริษัทให้เติบโตกว่า 10-15% แตะ 1,200 ล้านบาทได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน”
กรีนโปรดักต์
ผลิตภัณฑ์ของเอกา โกลบอล สามารถรีไซเคิลได้ 100% นอกจากนี้ยังมีกรีนโปรดักต์อย่างบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมดและสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือเรซินรีไซเคิล ฯลฯ โดยบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ผลิตอาหารเติบโตได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ในด้านสิ่งแวดล้อม และช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้า รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยการส่งออกสินค้าไปยังต่างพื้นที่ หรือต่างประเทศ และช่วยลดต้นทุนการผลิตและขนส่งได้อีกด้วย
ที่มา: www.eka-global.com